บางครั้งเงินก็ทำลายโลกที่น่าอยู่ เมื่อพูดถึงเรื่องเงินกันแล้ว ก็ดูเหมือนกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวันไปแล้ว เพราะทุกคนย่อมกิน ย่อมใช่บริการ หรือเมื่อต้องการสิ่งอะไรบางอย่าง
เงินยังมีผลทำให้ประเทศหรือสถานที่นั้นๆมีความเจริญมากขึ้น ในทางด้านเศรษฐกิจและสิ่งก่อสร้างมากมาย หรือแม้ทำให้คนนั้นสามารถจับจ่ายซื้อเสื้อผ้าสวยๆ รถส่วนตัว และ smartphone ลองเปรียบเทียบในกรุงเทพฯมีเงินในการลงทุนมากกว่าต่างจังหวัด กรุงเทพจึงมีตึกสูงๆ ห้างสรรพสินค้ามากมาย มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง มีสถานที่ท่องเที่ยวล้ำสมัย มีรถไฟใต้ดิน และยังสร้างงานกับเงินให้ชาวบ้านได้อีก ฯลฯ (แต่ไม่มีภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่) พอฟังดูแล้วเงินนั้นเปรียบเสมือนปัจจัยที่ 5 (หรือพระเจ้าไปแล้ว ฮ่าๆ) ในชีวิตเราไปแล้ว
แต่ลองคิดดูนะ ถ้าเงินทำอะไรได้ทุกอย่างประมาณนี้แล้ว สำหรับคนที่มีความต้องการมากก็ต้องจำเป็นที่จะต้องใช่มากเช่นกัน ซึ่งจะทำให้พวกเขาต้องหามาด้วยการลงทุน (เคยได้ยินคำนี้หรือไม่ "ล้านแรกหายาก แต่ล้านต่อไปหาง่าย") และยิ่งถ้าเขายอมทำทุกอย่างที่เห็นแก่ตัวเพื่อความได้มาเพื่อสิ่งเหล่านั้นแล้ว และก็มีความน่ากลัวเหมือนกัน
ในตัวอย่าง ประเทศแคนนาดามีป่าโบราณแห่งหนึ่งซึ่งในฟืนดินนี้เป็นดินทรายที่ปนกับน้ำมันดิบ แต่เมื่อพอนักลงทุนผู้เห็นโอกาสที่จะทำเงินก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ก็ได้สั่งคน(ด้วยเงินของเขา)ให้ตัดป่านั้นทิ้งแล้วนำทรายมาสกัดออกมาเป็นน้ำมันขาย พลังงานที่ใช้ในการผลิตคือ ใช้ทุนน้ำมัน 1 บาร์เรลผลิตได้ 2 บาร์เรลเท่านั้น(พลังงานในโลกเราต้องลดลงเพื่อให้ได้ผลิตออกมาขาย เศร้า โลกร้อน) อีกทั้งสารพิษในกระบวนการผลิตก็ไม่ได้กำจัดและปล่อยลงแม่น้ำที่ชาวบ้านใช้ดื่ม T_T
ในอเมริกาสมัยจอร์จบุช เขาจะทำการเปิดเหมืองถ่านหินแถวที่ชนบททางตอนใต้ เหมืองที่ว่านี้ก็ได้สูบเอาน้ำกินน้ำใช้ของชาวบ้านไปมาก จึงมีกลุ่มคนแถวนั้นได้ออกมาประท่วงให้ปิดเหมือง (เศร้า อำนาจของเงินหรือคนกันนะ)
ใช่ว่าจะมีแค่เรื่องของสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ในสมัยจอร์จบุช(เราไม่ได้เกียจเขานะ) เขาได้แก้กฎหมายการปล่อยให้ตลาดอนุพันธ์ไม่มีการถูกควบคุม เมื่อคนที่มาลงทุนย่อมหวังผลตอบแทนตามที่คาด(ส่วนใหญ่จะเป็นเงินพวกกองทุนเงินซึ่งเป็นเงินของมนุษย์เงินเดือน) แต่เมื่อกลุ่มคนโลภ ครอบรัป เหล่านั้นได้ปั่นมันแล้วประคมข่าวให้อนุพันธ์ของกองทุนเหล่านี้มีความน่าเชื่อถือและผลตอบแทนที่สูงขึ้น ต่างคนก็เขามาลงทุน แต่พอตลาดเริ่มพังกลุ่มคนเหล่านั้นก็ฉื่งเอาเงินไป โดยขายสัญญาด้านตรงข้ามเน่าๆทิ้งให้กับกองทุนเลี้ยงชีพสำหรับคนจน พร้อมด้วยข่าวที่ให้ความฝัน (รายละเอียดต้องไปอ่าน hamburger crisis หรือ หนัง inside job นะ)
และที่เห็นกันบ่อยๆ มีผลกับเรามากก็คือ วัฒนธรรมการใช่จ่าย เราจะเห็นว่าสำหรับคนจนแถบจะไม่มีสิทธิที่จะอุปโภคบางชนิดที่ดีได้มาก เช่น ยารักษาโรค การรักษาพยาบาลนั้นเป็นไปด้วยความลำบาก ถ้าไม่มีสวัสดิการที่ดีหรือไม่มีตังคนเหล่านั้นเมื่อถึงมือคนที่รักษาให้ได้แล้วแต่ก็จะไม่หายจากอาการป่วย เพราะว่าไม่มีอุปกรณ์หรือค่าแรงให้ ส่วนความรู้ทางการศึกษาก็เป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกันที่ต้องใช้เงิน คนมีเงินน้อยการเข้าถึงการศึกษาที่ดีก็เป็นด้วยความลำบาก จากตัวอย่างคนในต่างประเทศบางคนมีโอกาสที่จะเรียนระดับมหาลัยได้ก็ยากอยู่เพราะค่าเทอมอันแสนแพงเหลือเกิน
มีตัวอย่างวัฒนธรรมการกินในสหรัฐฯ คนจนที่ทำงานมีเวลาน้อย ต้องเก็บเงินเพื่อครอบครัว อาหารที่กินจึงจำเป็นต้องประหยัด แล้วอาหารนั้นก็คือ hamburger มันง่ายและรวดเร็ด ส่วนประเภทผักหรืออาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการนั้นราคาของมันราคาสูงมาก พอคนที่กินอาหารขยะเหล่านั้นมากๆ ก็ทำให้เกิดโรคต่างๆขึ้นมาได้ง่าย
แต่ใช่ว่าคนรวยจะเป็นแบบนี้กันทุกคน ตัวอย่างเช่น บิวเกลส์ เขาบริจาคหลายโครงการดีๆมากมาย เช่น โครงการสร้างแหล่งพลังงานทดแทน โครงการยารักษาโรคมะเร็ง หรือแม้กระทั้งการจัดการระบบสาธารณ(วิจัยส้วมที่บังคลาเทศ) "เท่าที่ผมรู้ก็แค่นี้แหละ"
สุดท้ายแล้วผมว่าเงินไม่ใช่ประเด็นที่ทำให้ทุกอย่างมันแย่นักหรอก เพราะเรื่องที่มันแย่ลง น่าจะเป็นความต้องการของคนมากกว่าละมั้ง